ปัญหาสิวมักเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้หญิงอย่างเรา ยิ่งคนที่รักความสวยความงามบนใบหน้าเป็นอย่างมากแล้วล่ะก็ เรียกว่าต้องหน้าใสกันทุกวันเลยทีเดียว แต่สิวก็ไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะกับใคร มันเกิดได้ในทุกคน ยิ่งเมื่อสิวหายแต่ทิ้งรอยแผลเอาไว้ ยิ่งสร้างปัญหาหนักใจไม่น้อย ในstrong>การลบรอยแผลเป็นจากสิวที่จะต้องใช้ความพยายามอย่างสูง
และตามธรรมชาติแล้ว เมื่อร่างกายคนเราได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนัง ก็จะเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซม โดยเริ่มตั้งแต่การห้ามเลือดจากบาดแผล การสร้างคอลลาเจนใหม่ที่แข็งแรงใต้ผิวหนัง จนเป็นแผลเป็นที่สมบูรณ์ จะกินเวลาราว 1 ปี หรือขึ้นอยู่กับชนิดแผลว่ามีความลึกตื้น หนาบางอย่างไร ยิ่งลึกและกว้าง ก็จะยิ่งทิ้งร่องรอยเอาไว้ชัดเจน ไม่เว้นแม้แต่หลุมสิวที่ผ่านการอักเสบมาแล้ว
เมื่อมีความต้องการในเรื่องความงามบนใบหน้า จึงจำเป็นต้องมีการลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวให้จางลง ซึ่งวิธีที่จะช่วยให้รอยแผลเป็นลดเลือนได้นั้น มีหลายขั้นตอน ดังนี้
กรรมวิธีการรักษาแผลเป็นที่เกิดจากสิว
1. ใช้ยาทา ส่วนใหญ่แล้ว ยารักษาแผลเป็นที่เกิดจากสิว ไม่ว่าจะเป็นการแต้มกรด TCA, การใช้กรดวิตามินหรือยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ อย่าง Retin A จะช่วยกระตุ้นให้เซลผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ และการลอกผิวด้วยกรดผลไม้อย่าง AHA, BHA, PHA ก็เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนหลุดออกและเกิดการซ่อมแซมเร็วขึ้น สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยทำให้หลุมสิวและรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ดูดีขึ้นได้เหมือนธรรมชาติที่สุด
2. ใช้ครีมสำหรับลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ที่มีขายทั่วไปตามร้านขายยา ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ จะมีส่วนผสมของวิตามินอี วิตามินซี อาร์บูติน กรดโคจิก แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร และหากไม่ดีขึ้น ก็ต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรงเพื่อรับยาต่อไป
3. ทำไอออนโต (Iontophoresis) คือการอาศัยหลักการผลักยาเข้าสู่ผิวชั้นในด้วยกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวให้เร็วขึ้น ทำให้ผิวตึงขึ้น แผลเป็นดูดีขึ้นเหมือนเป็นธรรมชาติ
4. การใช้ยาสเตียรอยด์ จะเป็นการรักษาแผลเป็นชนิดนูน ด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์และยาต้านการเจริญเติบโตของผังผืด โดยแพทย์จะทำการให้ยาโดยการฉีดเข้าไปใต้ตำแหน่งของแผลเป็น ซึ่งจะช่วยให้แผลเป็นนั้นแบนราบลงได้ แต่วิธีลบรอยแผลเป็นจากสิวด้วยวิธีนี้ อาจต้องทำหลายครั้งเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเมื่อแผลเป็นยุบแล้ว ก็อาจต้องทำเลเซอร์ซ้ำอีกเพื่อให้ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้นเหมือนธรรมชาติ
5. การทำไอพีแอล (Intense Pulsed Light – IPL) จะเป็นการใช้อานุภาพของแสงที่มีความเข้มสูง สามารถทะลุผ่านชั้นผิวไปถึงชั้นหนังแท้ได้โดยที่จะไม่ทำอันตรายกับผิว เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน เพื่อทำให้ผิวตึงขึ้น วิธีนี้ต้องทำอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ต่ำประมาณ 3-4 ครั้ง จึงจะเห็นผล
6. การใช้เลเซอร์ ถือเป็นอีกวิธีที่ช่วยกำจัดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้รวดเร็ว เลเซอร์ที่ว่าก็อาจเป็นเลเซอร์กำจัดรอยสิวธรรมดาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว หรืออาจเลือกทำด้วยเครื่อง Fractional Laser หรือ Fraxel Laser ซึ่งเป็นวิธีการรักษารอยดำจากสิวรวมทั้งรอยแผลเป็นได้ดี
7. การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นร่องลึกจนกลายเป็นหลุมสิว เพราะการฉีดฟิลเลอร์นี้ ก็เพื่อเติมชั้นผิวหนังให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม ซึ่งสารที่นิยมนำมาใช้ฉีดมักจะเป็นคอลลาเจนและไฮยารูรอนิค เอซิด (Hyaluronic Acid) แม้ว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นทันตา แต่ก็ยังไม่ใช่วิธีการรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ได้ผลถาวร เพราะเมื่อฟิลเลอร์ที่ฉีดสลาย รอยหลุมสิวก็จะปรากฏขึ้นมาอีก จึงต้องทำการฉีดซ้ำเรื่อยๆ
แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ใครทุนหนาก็อาจใช้วิธีที่ให้ผลเร้วทันใจนึก แต่ใครเบี้ยน้อยก็อาจใช้ครีมบำรุงผิวธรรมดาๆ เพื่อลดเลือนริ้วรอยของสิว แต่จะเป็นวิธีไหน ผลก็ออกมาเหมือนกันคือ ต้องการให้ใบหน้าเนียนขาว สวยใส ไร้ริ้วรอย เพื่อความสะดวกในการแต่งหน้าให้ง่ายขึ้น และสวยขึ้นแทบทั้งสิ้น
ดูเพิ่มเติมที่ : เคล็ดลับผิวสวย